ปัญหาส้นเท้าแตก
รองศาสตราจารย์บัญญัติ สุขศรีงาม
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
เท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย
ใช้ในการเคลื่อนที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ
เท้าที่มีสุขอนามัยดีก็จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเองจึงมีผลต่อการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่ดีด้วย
แต่ถ้าหากเท้ามีสุขอนามัยที่ไม่ดีหรือมีบาดแผลจะทำให้เสียบุคลิกภาพได้เช่นกัน
สำหรับสุขอนามัยของเท้าที่พบกันมากประการหนึ่ง ได้แก่ ส้นเท้าแตก
ซึ่งจะทำให้เกิดความรำคาญและเกิดบาดแผลที่มีโอกาสติดเชื้อจากแบคทีเรียได้ง่าย
ส้นเท้าแตกมักจะทำให้เกิดปัญหาในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
เนื่องจากทำให้ความมั่นใจในบุคลิกภาพลดลง
ปัญหาส้นเท้าแตกของผู้หญิงส่วนมากจะพบในวัยกลางคนจึงถึงสูงอายุ
โดยผู้หญิงเหล่านี้ร้อยละ 40 (หรือ 4 ใน 10 คน) จะมีปัญหาส้นเท้าแตกหรือหยาบกร้าน
ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกาย กล่าวคือ
ในขณะที่มีอายุมากขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ของผิวหนังบริเวณส้นเท้าโดยเริ่มมีรูพรุนและมีความยืดหยุ่นลดลง
ทำให้ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณนี้ไว้ได้
นอกจากนี้ปัญหาส้นเท้าแตกยังขึ้นอยู่กับลักษณะรองเท้าที่สวมใส่อีกด้วย
ถ้าหากใส่รองเท้าสาน รองเท้าฟองน้ำ (หรือร้องเท้าคีบ)
รองเท้าเปิดส้นหรือเดินด้วยเท้าเปล่าที่ไม่สวมรองเท้าเป็นเวลานาน ๆ
จะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าเริ่มขาดความยืดหยุ่น
โดยผิวหนังจะเริ่มหนาและแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผิวหนังส่วนนี้แห้งและแตก
ในบางรายจะมีผิวหนังบริเวณส้นเท้าแตกมาก จนเป็นบาดแผลทำให้เกิดความเจ็บปวดเวลาเดิน
จึงทำให้เสียบุคลิกภาพอย่างมาก
เมื่อไม่นานมานี้ คณะนักวิจัยของบริษัท ยูเอส
ซัมมิท (โอเวอร์ซี) ได้ให้ข้อมูลมาว่า
ผู้หญิงไทยนิยมใส่รองเท้าเปิดส้นมากที่สุดและร้อยละ 80 ของผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคของเท้าจะเป็นผู้หญิง
สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคของเท้าจะมาจากรองเท้าที่สวมใส่
นอกจากนี้การยืนบนพื้นที่มีความแข็ง (เช่น พื้นปูนซีเมนต์)
การมีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเกิดภาวะโรคอ้วน
รวมทั้งการเป็นผู้ที่มีผิวหนังแห้งก็มีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย
ส่วนผู้ที่มีส้นเท้าแตกจนเกิดบาดแผลขึ้นมาจะมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย
จึงควรได้รับการรักษาเพื่อไม่ให้เป็นโรครุกลามจนก่อให้เกิดอันตรายขึ้นมาได้
เนื่องจากปัญหาผิวหนังที่ส้นเท้าแตกอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
รวมทั้งทำให้ลดความเชื่อมั่นของตนเอง จึงส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพอีกด้วย
ดังนั้นควรป้องกันการเกิดปัญหาผิวหนังแตกที่ส้นเท้าด้วยการ
ใส่รองเท้าหุ้มส้นอยู่เสมอ ๆ
สำหรับในกลุ่มผู้สูงอายุก็ควรใช้ครีมทาบริเวณผิวหนังที่ส้นเท้าไว้บ้างเพื่อทำให้เกิดความชุ่มชื้นขึ้นมา
นอกจากนี้ก็ควรลดน้ำหนักเพื่อไม่ให้เกิดภาวะโรคอ้วนจะได้ไม่ทำให้ผิวหนังที่ส้นเท้ารับน้ำหนักมากเกินไป
ถ้าทำได้เช่นนี้จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดส้นเท้าแตกไปได้มาก
ส่วนผู้ที่มีส้นเท้าแตกจนเกิดแผลก็ควรได้พบแพทย์เพื่อรักษาให้หายเป็นปกติต่อไป
จะได้ช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นได้ด้วยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น